บทที่ 5 เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน
และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ
เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศหรือองค์กรนั้นๆ
เพราะผู้ปกครองที่เปิดใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน
หรือคนในองค์กรทั้งด้านบวกและด้านลบแล้ว ย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ
องค์กร และตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 45"บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน" มาตรา 56 "บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ..."มาตรา 57 "บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ...และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว..." รวมถึงขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน อาทิ "บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยวาจาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือการตีพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือโดยอาศัยสื่อประการอื่นตามที่ตนเลือก"
หน่วยงานภาครัฐ และนักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการถือเป็นบุคคลสาธารณะ (Public figure) กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้บริการสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับประชาชนในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ เช่น ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการครู หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่สังกัดส่วนราชการต่างๆ เพราะนโยบายหรือการปฏิบัติงานของเขากระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไป การเป็นองค์กรและบุคคลสาธารณะประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์โดยชอบตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด และหน่วยงาน/บุคคลก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะชี้แจงให้ผู้แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์นั้นรับทราบข้อเท็จจริงตามที่เห็นสมควร
แต่การแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็พึงระวังให้การแสดงความเห็นเป็นไปโดยชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยคำนึงว่าความคิดเห็น ที่แสดงออกไปนั้น โดยเฉพาะที่แสดงผ่านทางเว็บไซต์ควรงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
และตระหนักถึงบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
โทษ: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 15 ผู้ให้บริการใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน
โทษ: ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14 (เหตุผล - ผู้ให้บริการในที่นี้มุ่งประสงค์ถึงเจ้าของเว็บไซต์ ซึ่งมีการพิจารณาว่าควรต้องมีหน้าที่ลบเนื้อหาอันไม่เหมาะสมด้วย)
ดังนั้น การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางเว็บไซต์จะต้องคำนึงถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นด้วย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเผยแพร่ นอกจากดูเรื่องกฏหมายรัฐธรรมนูญแล้ว ยังต้องดูเรื่องของกฎหมายอื่นประกอบด้วย เช่นในเรื่องการละเมิด ถึงบุคคลที่สาม หรือกฏหมายเกี่ยวกับการนำเสนอสื่อในระบบสารสนเทศ หรือกฏหมายอินเตอร์เน็ต ซึ่งต้องระมัดระวัง กล่าวคือ บางกรณีอาจจะไปเข้าหลักเกณฑ์ในกฏหมายลูกบางฉบับ เพราะการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โอกาสที่บุคคลที่ถูกพาดพิง หรือกล่าวหาจะมาแก้ต่างนั้นลำบาก หรือแม้แต่จะสามารถหาต้นตอของการโพสหรือเผยข้อมูลได้ก็ต้องใช้เวลา แม้ว่าการลบ หรือไม่ลบจะขึ้นอยู่ในการตัดสินใจของผู้ดูแลก็ตาม และแม้ผู้ที่ถูกพาดพิงจะสามารถแก้ไขข้อกล่าวหาได้ก็ตาม ทำให้เรื่องแบบนี้ค่อนข้างบอบบางในมุมมองทางกฏหมาย
อย่างไรก็ตามเพื่อให้มั่นใจว่าทุกความเห็นจะได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน จึงขอความร่วมมือให้ผู้ที่แสดงความเห็นทุกท่าน โปรด "ระบุชื่อ-" ไว้ในการแสดงความเห็นทุกครั้ง
และหากมีเหตุให้ต้องลบความเห็นใดๆ ในเว็บไซต์หน่วยงานภาครัฐ จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (โดยบันทึกเหตุผลของการลบนั้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร) ซึ่งมีใจความสำคัญโดยสรุปว่า "การสั่งราชการโดยปกติให้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร เว้นแต่ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชามีความจำเป็นที่ไม่อาจสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรในขณะนั้น จะสั่งราชการด้วยวาจาก็ได้ แต่ให้ผู้รับคำสั่งนั้นบันทึกคำสั่งด้วยวาจาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและเมื่อได้ปฏิบัติราชการตามคำสั่งดังกล่าวแล้วให้บันทึกรายงานให้ผู้สั่งราชการทราบ ในบันทึกให้อ้างอิงคำสั่งด้วยวาจาไว้ด้วย...(ผู้ใต้บังคับบัญชา) ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการจะต้องเสนอความเห็นเป็นหนังสือทันที เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งนั้น และเมื่อได้เสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันให้ปฏิบัติ ตามคำสั่งเดิม ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม" เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่รัฐลบความเห็นที่ชอบด้วยกฎหมายของประชาชนที่ส่งเข้ามาทางเว็บไซต์ อาจเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความเห็น อันเป็นเสรีภาพที่ได้รับรองไว้อย่างชัดแจ้งโดยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และญัติไว้ว่าเป็นความผิดอันเกี่ยวเนื่องกับการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน
ดังนั้น การปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน จึงเป็นสิ่งที่เราควรช่วยกันปกป้อง ดังที่มีผู้กล่าวว่า ..."คนที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราควรจะสนับสนุน ไม่อย่างนั้นประเทศชาติจะเดินไปได้อย่างไร อีกหน่อยใครจะออกมาทักท้วงอะไร ก็ต้องคิดแล้วคิดอีกเป็นร้อยรอบเพราะเดี๋ยวคนโน้นคนนี้ก็จะมาตำหนิ สู้อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ ขอให้คนที่วิจารณ์ในทางลบช่วยมีวิจารณญาณแยกแยะด้วย..."
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 45"บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน" มาตรา 56 "บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ..."มาตรา 57 "บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ...และมีสิทธิแสดงความคิดเห็นของตนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว..." รวมถึงขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน อาทิ "บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีความคิดเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพแห่งการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงเสรีภาพที่จะแสวงหา รับและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและความคิดทุกประเภท โดยไม่คำนึงถึงพรมแดน ทั้งนี้ ไม่ว่าด้วยวาจาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือการตีพิมพ์ ในรูปของศิลปะ หรือโดยอาศัยสื่อประการอื่นตามที่ตนเลือก"
หน่วยงานภาครัฐ และนักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการถือเป็นบุคคลสาธารณะ (Public figure) กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้บริการสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับประชาชนในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ เช่น ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการครู หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่สังกัดส่วนราชการต่างๆ เพราะนโยบายหรือการปฏิบัติงานของเขากระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไป การเป็นองค์กรและบุคคลสาธารณะประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์โดยชอบตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด และหน่วยงาน/บุคคลก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะชี้แจงให้ผู้แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์นั้นรับทราบข้อเท็จจริงตามที่เห็นสมควร
แต่การแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็พึงระวังให้การแสดงความเห็นเป็นไปโดยชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยคำนึงว่าความคิดเห็น ที่แสดงออกไปนั้น โดยเฉพาะที่แสดงผ่านทางเว็บไซต์ควรงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
และตระหนักถึงบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้
(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)
โทษ: ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 15 ผู้ให้บริการใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน
โทษ: ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14 (เหตุผล - ผู้ให้บริการในที่นี้มุ่งประสงค์ถึงเจ้าของเว็บไซต์ ซึ่งมีการพิจารณาว่าควรต้องมีหน้าที่ลบเนื้อหาอันไม่เหมาะสมด้วย)
ดังนั้น การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางเว็บไซต์จะต้องคำนึงถึงประเด็นดังกล่าวข้างต้นด้วย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเผยแพร่ นอกจากดูเรื่องกฏหมายรัฐธรรมนูญแล้ว ยังต้องดูเรื่องของกฎหมายอื่นประกอบด้วย เช่นในเรื่องการละเมิด ถึงบุคคลที่สาม หรือกฏหมายเกี่ยวกับการนำเสนอสื่อในระบบสารสนเทศ หรือกฏหมายอินเตอร์เน็ต ซึ่งต้องระมัดระวัง กล่าวคือ บางกรณีอาจจะไปเข้าหลักเกณฑ์ในกฏหมายลูกบางฉบับ เพราะการเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โอกาสที่บุคคลที่ถูกพาดพิง หรือกล่าวหาจะมาแก้ต่างนั้นลำบาก หรือแม้แต่จะสามารถหาต้นตอของการโพสหรือเผยข้อมูลได้ก็ต้องใช้เวลา แม้ว่าการลบ หรือไม่ลบจะขึ้นอยู่ในการตัดสินใจของผู้ดูแลก็ตาม และแม้ผู้ที่ถูกพาดพิงจะสามารถแก้ไขข้อกล่าวหาได้ก็ตาม ทำให้เรื่องแบบนี้ค่อนข้างบอบบางในมุมมองทางกฏหมาย
อย่างไรก็ตามเพื่อให้มั่นใจว่าทุกความเห็นจะได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน จึงขอความร่วมมือให้ผู้ที่แสดงความเห็นทุกท่าน โปรด "ระบุชื่อ-" ไว้ในการแสดงความเห็นทุกครั้ง
และหากมีเหตุให้ต้องลบความเห็นใดๆ ในเว็บไซต์หน่วยงานภาครัฐ จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 (โดยบันทึกเหตุผลของการลบนั้นไว้เป็นลายลักษณ์อักษร) ซึ่งมีใจความสำคัญโดยสรุปว่า "การสั่งราชการโดยปกติให้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร เว้นแต่ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชามีความจำเป็นที่ไม่อาจสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรในขณะนั้น จะสั่งราชการด้วยวาจาก็ได้ แต่ให้ผู้รับคำสั่งนั้นบันทึกคำสั่งด้วยวาจาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและเมื่อได้ปฏิบัติราชการตามคำสั่งดังกล่าวแล้วให้บันทึกรายงานให้ผู้สั่งราชการทราบ ในบันทึกให้อ้างอิงคำสั่งด้วยวาจาไว้ด้วย...(ผู้ใต้บังคับบัญชา) ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการจะต้องเสนอความเห็นเป็นหนังสือทันที เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งนั้น และเมื่อได้เสนอความเห็นแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันให้ปฏิบัติ ตามคำสั่งเดิม ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตาม" เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่รัฐลบความเห็นที่ชอบด้วยกฎหมายของประชาชนที่ส่งเข้ามาทางเว็บไซต์ อาจเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความเห็น อันเป็นเสรีภาพที่ได้รับรองไว้อย่างชัดแจ้งโดยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน การกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา หมวด 2 เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และญัติไว้ว่าเป็นความผิดอันเกี่ยวเนื่องกับการลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชน
ดังนั้น การปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน จึงเป็นสิ่งที่เราควรช่วยกันปกป้อง ดังที่มีผู้กล่าวว่า ..."คนที่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราควรจะสนับสนุน ไม่อย่างนั้นประเทศชาติจะเดินไปได้อย่างไร อีกหน่อยใครจะออกมาทักท้วงอะไร ก็ต้องคิดแล้วคิดอีกเป็นร้อยรอบเพราะเดี๋ยวคนโน้นคนนี้ก็จะมาตำหนิ สู้อยู่เฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ ขอให้คนที่วิจารณ์ในทางลบช่วยมีวิจารณญาณแยกแยะด้วย..."
กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
ปัญหาคาใจของบรรดาข้าราชการ
พนักงาน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มักจะถูกต่อว่าหรือตำหนิอยู่เสมอว่า“คุณเป็นข้าราชการ
คุณออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองได้อย่างไร” มิหนำซ้ำบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชา
ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และลิ่วล้อทั้งหลายก็ออกมาสำทับอีกว่า“คุณเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา
แต่กลับออกมาแสดงความคิดเห็นคัดค้านผู้บังคับบัญชาของตนนั้นเข้าข่ายกระทำผิดวินัยนะจะบอกให้”
ปัญหาคาใจต่างๆเหล่านี้มีมานานแล้ว บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายยกเว้นอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน(ต้องย้ำว่าบางคน) จึงออกอาการกล้าๆกลัวๆที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเพราะเกรงจะถูกลงโทษทางวินัย ทั้งที่เป็นสิทธิพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับไหนๆ ที่ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายอื่นไม่ว่าจะเป็นกฎ ก.พ.หรือกฎอื่นใดย่อมไม่อาจไปหักล้างได้
ผมจะขอนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมาตราที่เกี่ยวข้องมาแสดงให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร
“มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง”
“มาตรา ๓๑ บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัยหรือจริยธรรม”
“มาตรา ๔๕ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน...........”
“มาตรา ๖๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์.กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่น
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องในการจัดทำบริการสาธารณะ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันมิให้มีการผูกขาดตัดตอนทางเศรษฐกิจ”
จากบทบัญญัติที่ยกมาจะเห็นได้ว่าบรรดาข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป เว้นเสียแต่จะไปเข้าข้อยกเว้นบางประการที่ว่าไว้อย่างชัดแจ้งและเป็นลายลักษณ์อักษร ข้อยกเว้นที่ว่านี้ต้องออกมาโดยชอบรัฐธรรมนูญเช่นกัน มิใช่อยากจะออกข้อยกเว้นอะไร ก็ออกมาตามอำเภอใจ
เมื่อเรานำมาพิจารณาในเนื้อหาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นประกอบเข้ากับหลักนิติรัฐที่ว่าบรรดาการกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องชอบด้วยกฎหมาย และกฎหมายที่ว่านี้ต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็หมายถึง พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวง ฯลฯ ที่ออกมาหรือที่มีอยู่แล้วบัญญัติข้อห้าหรือข้อยกเว้นไว้
แต่เนื้อหาที่เป็นข้อยกเว้นนั้นจะไปขัดในหลักการใหญ่ในรัฐธรรมนูญไม่ได้ ตัวอย่างเช่น หลักการตามมาตรา ๑ ที่ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวหรือ รัฐเดี่ยว การที่จะออกกฎหมายจัดรูปแบบการปกครองไม่ว่าจะเป็นส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถิ่น แม้กระทั่งการปกครองรูปแบบพิเศษแบ่งย่อยไปเท่าไรก็ได้ แต่ต้องยังอยู่ในหลักการใหญ่ที่ว่าต้องเป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดิม และเช่นเดียวกันมาตรการหรือกฎระเบียบที่นำมาใช้กับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็ย่อมที่จะไปขัดหลักการใหญ่ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ได้
หลายคนเข้าใจว่าเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติข้อยกเว้นไว้ก็เลยออกมาตรการหรือกฎระเบียบมาเสียเละเทะจนขัดต่อหลักการใหญ่ ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลักการขั้นพื้นฐานที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง และการที่จะตีความว่ากฎหรือระเบียบใดขัดหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ โดยศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจในการวินิจฉัยว่ากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติขึ้นไปซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติธรรมดา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชกำหนดว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ส่วนศาลปกครองก็มีอำนาจในการวินิจฉัยมาตรการหรือกฎหมายในลำดับรองลงมาซึ่งออกโดยฝ่ายบริหารซึ่งได้แก่ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวง ฯลฯ ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ มิใช่หน้าที่ของฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาจะไปตีขลุมว่าเมื่อรัฐธรรมนูญบอกว่า “ทั้งนี้ ตามกฎหมายบัญญัติ” หรือ “เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย”แล้วมาตรการหรือกฎหมายที่นำมาใช้ย่อมไม่ขัดรัฐธรรมนูญเสมอ จึงไม่ถูกต้อง
บรรดาข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นก็คือประชาชน ย่อมมีสิทธิมีเสียงเช่นเดียวกับประชาชนอื่นที่มิใช่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพียงแต่ถูกจำกัดบทบาทหน้าที่ไว้บางประการเท่านั้น เช่น ใส่เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น มิใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย และแน่นอนว่าการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการโดยสุจริตไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียน ย่อมไม่เข้าข่ายการกระทำที่ต้องห้ามอย่างแน่นอน เพราะขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบนิติรัฐอย่างชัดแจ้งนั่นเอง
ฉะนั้น การที่นักการเมืองที่เป็นผู้บังคับบัญชา รวมไปถึงผู้ที่หงอต่ออำนาจทางการเมืองหรือพยายามเอาใจนักการเมืองโดยการออกมาปรามหรือข่มขู่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าจะดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นคงต้องกลับไปทบทวนเสียใหม่ เพราะแทนที่นักการเมืองที่เป็นผู้บังคับบัญชาจะดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น แต่เขาเหล่านั้นเองนั่นแหละจะต้องเป็นผู้ถูกดำเนินคดีเสียเองฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ปัญหาคาใจต่างๆเหล่านี้มีมานานแล้ว บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายยกเว้นอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน(ต้องย้ำว่าบางคน) จึงออกอาการกล้าๆกลัวๆที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเพราะเกรงจะถูกลงโทษทางวินัย ทั้งที่เป็นสิทธิพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับไหนๆ ที่ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายอื่นไม่ว่าจะเป็นกฎ ก.พ.หรือกฎอื่นใดย่อมไม่อาจไปหักล้างได้
ผมจะขอนำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมาตราที่เกี่ยวข้องมาแสดงให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร
“มาตรา ๔ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง”
“มาตรา ๓๑ บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัยหรือจริยธรรม”
“มาตรา ๔๕ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน...........”
“มาตรา ๖๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์.กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่น
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีเสรีภาพในการรวมกลุ่มเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องในการจัดทำบริการสาธารณะ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันมิให้มีการผูกขาดตัดตอนทางเศรษฐกิจ”
จากบทบัญญัติที่ยกมาจะเห็นได้ว่าบรรดาข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป เว้นเสียแต่จะไปเข้าข้อยกเว้นบางประการที่ว่าไว้อย่างชัดแจ้งและเป็นลายลักษณ์อักษร ข้อยกเว้นที่ว่านี้ต้องออกมาโดยชอบรัฐธรรมนูญเช่นกัน มิใช่อยากจะออกข้อยกเว้นอะไร ก็ออกมาตามอำเภอใจ
เมื่อเรานำมาพิจารณาในเนื้อหาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นประกอบเข้ากับหลักนิติรัฐที่ว่าบรรดาการกระทำทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องชอบด้วยกฎหมาย และกฎหมายที่ว่านี้ต้องไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็หมายถึง พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวง ฯลฯ ที่ออกมาหรือที่มีอยู่แล้วบัญญัติข้อห้าหรือข้อยกเว้นไว้
แต่เนื้อหาที่เป็นข้อยกเว้นนั้นจะไปขัดในหลักการใหญ่ในรัฐธรรมนูญไม่ได้ ตัวอย่างเช่น หลักการตามมาตรา ๑ ที่ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวหรือ รัฐเดี่ยว การที่จะออกกฎหมายจัดรูปแบบการปกครองไม่ว่าจะเป็นส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถิ่น แม้กระทั่งการปกครองรูปแบบพิเศษแบ่งย่อยไปเท่าไรก็ได้ แต่ต้องยังอยู่ในหลักการใหญ่ที่ว่าต้องเป็นรัฐเดี่ยวเช่นเดิม และเช่นเดียวกันมาตรการหรือกฎระเบียบที่นำมาใช้กับข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็ย่อมที่จะไปขัดหลักการใหญ่ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนไม่ได้
หลายคนเข้าใจว่าเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติข้อยกเว้นไว้ก็เลยออกมาตรการหรือกฎระเบียบมาเสียเละเทะจนขัดต่อหลักการใหญ่ ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลักการขั้นพื้นฐานที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง และการที่จะตีความว่ากฎหรือระเบียบใดขัดหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตุลาการ โดยศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจในการวินิจฉัยว่ากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติขึ้นไปซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติธรรมดา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือพระราชกำหนดว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ส่วนศาลปกครองก็มีอำนาจในการวินิจฉัยมาตรการหรือกฎหมายในลำดับรองลงมาซึ่งออกโดยฝ่ายบริหารซึ่งได้แก่ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวง ฯลฯ ว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ มิใช่หน้าที่ของฝ่ายการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาจะไปตีขลุมว่าเมื่อรัฐธรรมนูญบอกว่า “ทั้งนี้ ตามกฎหมายบัญญัติ” หรือ “เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย”แล้วมาตรการหรือกฎหมายที่นำมาใช้ย่อมไม่ขัดรัฐธรรมนูญเสมอ จึงไม่ถูกต้อง
บรรดาข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นก็คือประชาชน ย่อมมีสิทธิมีเสียงเช่นเดียวกับประชาชนอื่นที่มิใช่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพียงแต่ถูกจำกัดบทบาทหน้าที่ไว้บางประการเท่านั้น เช่น ใส่เสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ของพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น มิใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย และแน่นอนว่าการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการโดยสุจริตไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือเขียน ย่อมไม่เข้าข่ายการกระทำที่ต้องห้ามอย่างแน่นอน เพราะขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบนิติรัฐอย่างชัดแจ้งนั่นเอง
ฉะนั้น การที่นักการเมืองที่เป็นผู้บังคับบัญชา รวมไปถึงผู้ที่หงอต่ออำนาจทางการเมืองหรือพยายามเอาใจนักการเมืองโดยการออกมาปรามหรือข่มขู่ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าจะดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นคงต้องกลับไปทบทวนเสียใหม่ เพราะแทนที่นักการเมืองที่เป็นผู้บังคับบัญชาจะดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น แต่เขาเหล่านั้นเองนั่นแหละจะต้องเป็นผู้ถูกดำเนินคดีเสียเองฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ความคิดเห็นที่กฎหมายไม่คุ้มครอง
ไทยไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หลายๆ คนคงรู้สึกแปลกใจ ที่อยู่ๆ
ก็ได้รับจดหมายโฆษณาสินค้า หรือจดหมายเสนอให้สมัครเป็นสมาชิก จากบริษัทที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ส่งไปตามที่อยู่อาศัย หรือบางครั้งหนักขึ้น ถึงขนาดโทรเข้ามือถือของคุณเลยก็มี…
การได้รับจดหมายหรือโทรศัพท์จากทั้งบริษัทและคนแปลกหน้าในลักษณะนี้
หลายคนคงสงสัยว่าบริษัทเหล่านี้ มีข้อมูลส่วนตัวของเราได้อย่างไร
บางคนนึกย้อนไปถึงการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่เคยให้กับธนาคารหรือฝ่ายบริการบัตรเครดิตต่างๆ
แม้ว่าคุณจะอยากรู้ว่าบริษัทเหล่านี้ได้ข้อมูลส่วนตัวของคุณมาได้อย่างไร
ความคิดดังกล่าวก็ต้องหยุดเพียงเท่านั้น
เพราะคุณคงไม่สามารถจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ แต่นักวิจัย 2 คนคือ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปกติ และ นคร สิริรักษ์ จัดการได้
"ผมถือว่ามีจดหมายแปลกหน้าเพียงฉบับเดียวที่ส่งมาถึงเราก็ถือเป็นการละเมิด
หรือคุกคามสิทธิส่วนบุคคลแล้ว เพราะคนเราทุกคนจะต้องมีอาณาบริเวณส่วนตัว
ที่รัฐหรือบุคคลอื่นไม่สามารถบุกรุกเข้ามาได้ มิใช่หมายถึงที่พักอาศัยเท่านั้น
แต่มันหมายรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วย" นคร ข้าราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นศ.ปริญญาเอกในโครงการปริญญาเอกกาญจนภิเษก
(คปก.) สาขาวิชา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็น
และด้วยความคิดเช่นนี้จึงได้นำไปสู่โจทย์วิจัยเรื่อง
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
และบังคับใช้กฎหมายเพื่อเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายในการปฏิรูปการแก้กฎหมายโดยมี รศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปกติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
นคร เล่าว่า
เป็นเรื่องน่าแปลกมากที่ประเทศไทยไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
จะมีที่ใกล้เคียงกันก็คือ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารราชการ
ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ โดยยังอยู่บนพื้นฐานของการเปิดเผยข้อมูลเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐ
หากข้อมูลที่เปิดเผยไม่ทำให้เกิดผลกระทบในทางที่เสียหายต่อบุคคลอื่น
ทั้งเป้าหมายและหลักการของ พ.ร.บ.นี้ก็ไม่อาจเอามาใช้กับข้อมูลส่วนบุคคลได้
เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ต้องยึดหลักการปกป้องสิทธิของบุคคล
ดังนั้นข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับการปกป้อง จะเปิดเผยได้ก็ขึ้นกับแต่ละกรณี
ประเทศไทยไม่เคยมีกฎหมายนี้มาก่อน
และหากยังไม่มีการแก้ไข อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย….
ในภาวะปัจจุบันที่ยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
หมายความว่า ความเป็นส่วนตัวของคนไทยจะถูกละเมิดได้
ดังจะเห็นได้จากการมีจดหมายเสนอขายสินค้าและสมาชิกของบริษัทห้างร้านต่างๆ
เข้ามาทั้งที่ไม่เคยมีการติดต่อกันมาก่อนเลย
แต่จดหมายเหล่านี้กลับมีการจ่าหน้าซองชื่อผู้รับและสถานที่อยู่อย่างถูกต้อง
เหตุการณ์คล้ายคลึงกันแต่ใช้เครื่องมือต่างกันคือ
มาทางเครื่องแฟกซ์หรือบางแห่งไฮเทคมาก
ถึงขนาดยอมเสียเงินโทรเข้าโทรศัพท์มือถือเลยทีเดียว
ซึ่งกรณีหลังนี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้รับสายจากบุคคลแปลกหน้าเป็นอย่างมาก
การมุ่งหวังแต่จะทำการตลาดอย่างไม่ลืมหูลืมตากลับกลายเป็นการบุกรุก และคุกคามความเป็นส่วนตัวของบุคคล
โดยที่ไม่มีแม้แต่กฎหมายที่จะคุ้มครองเลย
ที่สำคัญช่องว่างทางกฎหมายนี้ยังทำให้ธุรกิจผิดกฎหมายบางชนิดนำไปใช้เป็นเครื่องมือ
โดยการนำข้อมูลของสมาชิกสมาคม ร้านค้า บัตรประเภทต่างๆ
มาใช้เป็นข้อมูลในการหาลูกค้าในธุรกิจผิดกฎหมายบางประเภท เช่น การค้าเงิน
แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายแต่ก็ยังเปิดดำเนินการอยู่ได้
โดยข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกนำมาใช้ส่วนมากจะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดของธุรกิจผิดกฎหมาย
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงภัยคุกคามประชาชนโดยอาศัยช่องว่างทางกฎหมายเหล่านี้เป็นเครื่องมือ
สำหรับในอนาคตที่การแข่งขันด้านการตลาดจะยังทวีความเข้มข้นและรุนแรงมากขึ้น
การใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเก็บข้อมูลทั้งในเรื่องของการรับ-จ่ายสินค้าของผู้บริโภคจะทำให้สามารถรู้ถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคและนิสัยของผู้บริโภคเป็นรายบุคคลได้
ซึ่งข้อมูลเช่นนี้สามารถขายได้โดยจะเกิดกิจกรรมการขายตรงมากขึ้น
พร้อมกับมีการเสนอสินค้าที่ถูกกับนิสัยและรสนิยมของผู้บริโภคแต่ละคน
หลายคนอาจจะคิดว่าดีที่มีบริการเหล่านี้มาให้เลือกซื้อถึงบ้าน
แต่หากพิจารณากันจริงๆแล้ว การต้องรับมือกับจดหมายจำนวนมากๆ
ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่สนุกนัก
แต่ในทางการแพทย์แล้วหากมีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลเกิดขึ้น
จะก่อให้เกิดผลกระทบตามมามากมายมหาศาล เช่น
การเจาะเลือดเพียงเล็กน้อยไม่เพียงแต่จะทำให้ได้ข้อมูลกรุ๊ปเลือดเท่านั้น
แต่ยังสามารถตรวจสอบได้ถึงข้อมูลสุขภาพส่วนตัว ความผิดปกติที่สืบเนื่องจากพันธุกรรม
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจมีผลต่อสถานะการทำงานของบุคคลได้
เนื่องจากอาจส่งผลเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของบริษัทตามมา
ทั้งที่ข้อมูลส่วนบุคคลนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผย
แต่การไม่มีกฎหมายควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวก็สามารถทำให้เกิดการละเมิดขึ้นได้
ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีนั้น มีกฎหมายนี้เกือบ 30 ปีแล้ว โดยการผลักดันของ Professor Dr.Spiros แห่งมหาวิทยาลัย Frankfurt
"หลายคนให้ความเห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายนี้ประชาชนต้องพร้อมด้วยและหากคนไทยไม่เห็นว่าประเด็นนี้มีความสำคัญ
เขาก็คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบผลักดันกฎหมายนี้มาบังคับใช้" ความคิดเห็นของนักกฎหมายบางคนที่นครได้สัมภาษณ์ในขณะเก็บข้อมูล
ในทางตรงข้าม
นครให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
"เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอีกต่อไป
เมื่อประเทศที่มีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะไม่อนุญาตให้มีการใช้ร่วมกับประเทศที่ไม่สามารถให้หลักประกันการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้
ซึ่งข้อกำหนดนี้มีผลกระทบกับสายการบินของประเทศไทยแล้วเช่นกัน
ในเรื่องการร่วมมือทางธุรกิจกับสายการบินบางแห่งของเยอรมนี
เพราะความแตกต่างของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของทั้ง 2 ประเทศอาจจะส่งผลถึงการใช้ข้อมูลร่วมกัน"
ความพยายามในการเสนอปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาทั้งด้านนิติศาสตร์
และรัฐศาสตร์จากผลงานวิจัยนี้ จึงมิได้มีความหมายเพียงเพื่อเสนอผลงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเท่านั้น
แต่อาจส่งผลถึงการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคนไทยโดยรวม
หากผลการวิจัยนี้กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ
และคาดหวังว่าจะได้รับการผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง
ประเด็นด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
|
| |||||||||||
|
อ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น